7/22/07

ความเป็นไป...แห่งวัยชรา


สะดุ้งตื่นขึ้นมาเวลาดีก
พร้อมสำนึกอาลัย...ละห้อยหา
ความสดใสวันก่อนไม่ย้อนมา
เหลือสังขาร์อันโรยราทิ้งไว้แทน

แค่เขยื้อนเลื่อนขยับกลับลำบาก
ยามเคลื่อนไหวมาก ๆ ก็ยากแสน
ปวงสัมผัสประสาทล้วนขาดแคลน
ไม่ชัดแม่นชำนาญเหมือนวานวัน

จึงทนอยู่อย่างอึดอัดจำกัดสิทธิ์
มีชีวิตกับห้วงกาลอันผ่านผัน
ญาติมิตรเคยเคียงข้างเหินห่างกัน
ได้แต่ฝันฝากใจไปเยี่ยมเยือน

คนที่รักทั้งหลายล้วนตายจาก
จุดปิดฉาก..หลีกไม่พ้น..ทุกคนเหมือน
ความเหว่ว้าครองเข้าเป็นเจ้าเรือน
ทยอยรู้ข่าวเพื่อนผู้จากไป

ทีละคน...ทีละคน..ที่หล่นร่วง
ดับทุกข์ปวง..สู่ลิขิต..ชีวิตใหม่
เหลือกี่คน...กี่คน...ทนทุกข์ใจ
รอเมื่อไหร่...ปัจฉิมลิขิต..ชีวิตตน

ธรรมชาติมอบไว้ให้ทุกสิ่ง
คือสัจจะความจริงน่าฉงน
จากเด็กที่ต้องพึ่งพิงอิงผู้คน
พัฒนามาจนโตตามวัย

เป็นผู้ใหญ่เชี่ยวชาญเมื่อวานนี้
แล้วเสื่อมถอยลงทุกที...รู้สึกไหม
พอชรา..ไม่น่าเชื่อ...ไม่เหลืออะไร
ธรรมชาติ..เอาคืนไป...ไม่เหลือเลย

ในวงวนลิขิตชีวิตเหงา
ปล่อยใจให้ว่างเปล่าจนชาเฉย
รอวันละสังขารนานคุ้นเคย
ชีวิตเอย..ชีวิตเป็นเช่นนี้เอง

เสียงแคนใต้สะพาน

สองตายายซมซานจากบ้านป่า
หวังมาหาความรุ่งเรืองในเมืองหลวง
เก็บความทุกข์ลำบากฝากกับดวง
อยากก้าวล่วงหลุดพ้นความจนเสียที

สองตายายซมซานขอทานเขา
เสียงแคนเป่าตาบรรเลงเพลงสุขขี
ยายก็ร้องขับขานเสียงหวานดี
บอกเล่าถึงวืถีแห่งพงไพร

สองตายายเดินบนถนนร้อน
เที่ยวเร่รอน..ซอนซอกตรอกไหน ๆ
อาย..แสน..อาย..แต่จำเป็นโปรดเห็นใจ
เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรให้มีกิน

สองตายายหวังเพียงผู้เมตตา
แลกบทเพลงบรรเลงมาด้วยทรัพย์สิน
ไม่ต้องมากแค่พอต่อชีวิน
ให้อยู่ได้จนวันสิ้น..สังขารตน

สองตายายงก ๆ เงิ่น ๆ เดินไปทั่ว
ไม่นึกกลัวรถขวักไขว่ในถนน
บางวันเมื่อยเหนื่อยอ่อน..สุดร้อนรน
บางวันก็ตากฝน...จนเปัยกปอน

สองตายาย..อาศัย..ใต้สะพาน
ถึอเป็นบ้าน..เหนื่อยนัก..ได้พักผ่อน
ยามตกค่ำ..มืดมัว..ซุกหัวนอน
หยุดเวลาเร่รอนไว้ชั่วคราว

สองตายาย..ผ่านคืนวัน..อันทุกข์ทน
เคียงข้างอยู่..สองคน..ร้อนฝนหนาว
ด้วยความรักผูกพันกันนานยาว
ทุกย่างก้าว...มือกุมจับประคับประคอง

ใต้สะพาน..มีเสียง..แล๊...หล่ะ..แล๊น
บทเพลงขับขานแคนอันแสนหมอง
เช้าวันนี้ยินเสียงเพียงทำนอง
เพราะคนร้อง..จากไป..เมื่อคืนนี้

โอ้เจ้าดอกไม้ป่า..ของตาเอ๋ย
สองเราเคยเดินเคียงข้างไม่ห่างหนี
วันที่เหลือ..ต่อไป..เหมือนไม่มี
เหมือนชีวี..ตาแตกดับ..ไปกับยาย

อีกนิดหนึ่งก็ถึงเช้า (โคลงสี่สุภาพ)



มืดมิดมวลหมอกคว้าง          รอบกาย
หมอกหม่นลอยเรียงราย        เกลื่อนล้อม
ขาวปุยนุ่มนวลคล้าย            ม่านคลี่
ไอกรุ่นละอองอ้อม              ( ปิดกั้น )กักกัน

ปล่อยฝันจิตใฝ่เคว้ง             สู่ฝัน
ปล่อยโศกล่องลอยพลัน        สู่ฟ้า
ปล่อยใจที่ยึดมั่น                สู่ว่าง..วางใจ
ปล่อยทุกข์เหนื่อยอ่อนล้า       ( หลุดพ้น ) ร่วงราน

ไม่นานจักผ่านพ้น               ไม่นาน
ปวงทุกข์ที่พบพาน              จบได้
ปวงสุขสดชื่นหวาน             รอท่า
รอนะ...รอเพื่อให้               ( รุ่งแล้ว ) หมอกจาง

แสงพร่างแต่งวาดฟ้า           พราวพร่าง
แสงระบายพื้นนภางค์           ผ่องแผ้ว
แสงทองแห่งรุ่งราง              ระยิบ
แสงโชคิช่วงเพริศแพร้ว         ( เจิดจ้า ) ตะวัน

ภาพฝันยังขัดแจ้ง               แห่งฝัน
แม้หมอกม่านเมฆควัน          โอบเข้า
มิช้าลบเลือนพลัน               ใกล้รุ่ง
รอนิด...เดี๋ยวจะเช้า              ( ไม่ช้า ) โปรดรอ
 
ฉบับแปลงโคลงดั้นเป็นโคลงสี่สุภาพ

รอนิดหนึ่ง...ก็ถึงเช้า (โคลงดั้น)


มืดมิดมวลหมอกคว้าง          รอบกาย
หมอกหม่นลอยเรียงราย        เกลื่อนล้อม
ขาวปุยนุ่มนวลคล้าย            ม่านคลี่
ไอกรุ่นละอองอ้อม              กักกัน

ปล่อยฝันจิตใฝ่เคว้ง             สู่ฝัน
ปล่อยโศกล่องลอยพลัน        สู่ฟ้า
ปล่อยใจที่ยึดมั่น                สู่ว่าง..วางใจ
ปล่อยทุกข์เหนื่อยอ่อนล้า       ร่วงราน

ไม่นานจักผ่านพ้น               ไม่นาน
ปวงทุกข์ที่พบพาน              จบได้
ปวงสุขสดชื่นหวาน             รอท่า
รอนะ...รอเพื่อให้               หมอกจาง

แสงพร่างแต่งวาดฟ้า           พราวพร่าง
แสงระบายพื้นนภางค์           ผ่องแผ้ว
แสงทองแห่งรุ่งราง              ระยิบ
แสงโชคิช่วงเพริศแพร้ว         ตะวัน

ภาพฝันยังขัดแจ้ง               แห่งฝัน
แม้หมอกม่านเมฆควัน          โอบเข้า
มิช้าลบเลือนพลัน               ใกล้รุ่ง
รอนิด...เดี๋ยวจะเช้า              โปรดรอ

ที่สอง..หรือ...สุดท้าย


ความ..รักครั้งแรกแยกร้าง
รัก..จืดชืดจางแปรผัน
ครั้ง..ก่อนยังสอนใจพลัน
ที่สอง..อยากลองฝันหวั่นเกรง

ความ..รักจะจริงหรือใจ
รัก..แท้ใช่ไหมไม่ข่มเหง
ครั้ง..ก่อนย้อนยอกยำเยง
ที่สอง..จึงมิเร่งเผยใจ

ความ...รักนั้นค่อยค่อยก่อ
รัก..เริ่มเติมต่อหวั่นไหว
ครั้ง...นี้ค่อยเรียนรู้ดูไป
สุดท้าย.อาจได้ผูกพัน

ความ...รักนั้นอาจยอกย้อน
รัก..ซ่อนปมร้ายสลายฝัน
ครั้ง..ใหม่ขอลองแล้วกัน
สุดท้าย..ตามแต่มันเป็นไป

การรอคอย..และ..การเดินทางสามชั่วโมงกับอีก 7 นาที

มีใครคนหนึ่งบอกฉันว่า

เขาใช้การรอคอยนานถึงหกเจ็ดปี
เพื่อรอใครสักคน
ที่จะมาพบกันได้
ในสามชั่วโมงกับอีกเจ็ดนาที

เวลาแห่งการรอคอยของเขา
ยังคงนานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
และไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงได้..

เขาถามฉันว่า
ฉันเคยทำร้ายใคร
ด้วยการปล่อยให้เขาคอย
หรือเปล่า ?


หากฉันเป็นผู้ที่สามารถ
เดินทางสามชั่วโมงกับอีกเจ็ดนาที
แล้วทำให้การรอคอยของเขาสิ้นสุด
ฉันจะเร่งรุดไปทันที

แต่เผอิญ....
ฉันมิเคยใจร้าย
ทำให้ใครค้องรอคอยเช่นนั้น

แม้เมื่อหกเจ็ดปี
ใครบางคนทำให้
การเดินทางสามชั่วโมงกับอีกเจ็ดนาที
เป็นระยะทางไกลเกินไปถึง

เพราะผู้อยู่ที่ปลายทาง
เขามิได้รอคอยฉันแล้ว

แต่ฉันมิได้เก็บกักตน
ไว้ในกรงขังแห่งการรอคอย

กุญแจแห่งอิสรภาพถูกไข
ให้สายลมซับน้ำตา
ให้ท้องฟ้าแบ่งเบาความเหว่ว้า

มาเถิด....
พักให้...สองปีกแห่งใจที่อ่อนล้า
แข็งแรงและเริงร่า
พร้อมโบยบินแสวงหา
ดินแดนแห่งฝันอันเสรี

จากคำถามของใครคนหนึ่งที่ฝากข้อความถึงฉัน

เพียงตะเกียงดวงนั้น


ในโลกร้อนแรงด้วยแสงตะวัน
ฉัน..พอใจในความมืดเงียบงัน
มีเพียงตะเกียงดวงนั้น
ที่ส่องแสงอัน..อ่อนนวล

แสงตะวันเจิดจ้าเกินไป
ยามอยาก..แอบร้องไห้..คร่ำครวญ

แสงตะวันร้อนแรงเกินไป
ยามอยากซุกในความเหน็บหนาว

ขอเพียงตะเกียงและแสงดาว
ส่องสว่างไล่ความปวดร้าว...ในใจ

พักใจไปทะเล

ฝากความหวังเอาไว้บนหาดทราย
ฝากความฝันให้แหวกว่ายธาราใส
ฝากความทุกข์กระพือปีกบินหลีกไป
ฝากความเหงาทิ้งไปในสายลม

ปล่อยความเศร้าเก็บไว้ในขวดแก้ว
ปล่อยลอยลับล่วงแล้วความขื่นขม
ปล่อยความทุกข์ไปกับคลื่น..ตื่นระงม
ปล่อยให้ถมโถมไปไปไกล ๆ ตา

มองซิมองท้องฟ้ากว้างกว่ากว้าง
มองทะเลกว้างขวางเป็นนักหนา
มองเม็ดทรายกองพะเนินเกินคณา
มองเห็นว่าหนึ่งชีวิตนั้นนิดเดียว

ฟ้าสีครามงานเด่นเป็นสีฟ้า
เขียวพฤกษานั้นก็เห็นว่าเป็นเขียว
เกลียวคลื่มโถมทบท้นวนเป็นเกลียว
วางสักเดี๋ยว.วางทุกข์ไป..ปล่อยใจวาง

ชีวิตเป็นเช่นนี้เอง

น้ำตาเปรียบสายฝน
ร่วงหล่นเป็นสาย..สาย
น้ำตาคนเดียวดาย
ที่เวียนว่ายความคำนึง

เมฆเทาทะมึนใจ
ที่ซ่อนไว้คือคิดถึง
พายุอันอื้ออึง
มิอาจดึง..อาจรั้งใจ

ทะเล..สงบนิ่ง
แต่ความจริงที่ซ่อนไว้
มีคลื่นตื่นภายใน
เศร้าสาดใส่ดวงใจเรา

สายน้ำระรินเรื่อย
ไหลเอื่อย ๆ สู่แดนเหงา
จุดหมาย..มีเพียงเงา
หัวใจเศร้ายังแรมรอน

บนนั้นมีจันทร์เสี้ยว
อยู่เพียงเดียวระโหยอ่อน
ใจเหงายังเร่าร้อน
แอบซุกซ่อนในเยือกเย็น

ชีวิตอันเรียบง่าย
ยังเวียนว่ายในลำเค็ญ
ยอดหญ้ายังไหวเอน
ทุกสิ่งเป็นเช่นนั้นเอง

ค้นเถิด...ค้นใจตน

อาจเป็นเพียงความรู้สึกอันอ่อนไหว
อาจเป็นเพียงหัวใจที่อ่อนหวาน
อาจเป็นเพียงแค่จินตนการ
อาจเป็นเพียงพบเพื่อผ่านไม่จีรัง

อาจเป็นเธอ...หรืออาจจะมิใช่
อาจเป็นเธอ...หรือเป็นใครที่ใจหวัง
อาจเป็นเธอ...ที่เสริมเติมพลัง
อาจเป็นเธอ...ที่เหนี่ยวรั้งยั้งใจเรา

หรือ...จะไม่ใช่เธอ
หรือ..เป็นแค่ฝันละเมอในวันเหงา
หรือ..สิ่งที่พะวง..คือหลงเงา
หรือ..แค่เพราะความว่างเปล่าในดวงใจ

ค้นเถิด..จงใช้เวลาค้น
ว่าทุกสิ่งคือใจตนหรือมิใช่
หรือเป็นเพียงวูบหนึ่งซึ่งเผลอไป
ที่รู้สีก...นั้นมิใช่เป็นความจริง

โลกสีขาวที่หายไป

โรงเรียนของหนูหายไป
ใครจุดไฟเผาเหี้ยนเตียน
พรุ่งนี้หนูจะอ่านเขียน
จะไปเรียนที่ไหนไม่รู้

คุณครูของหนูหายไป
ใครยิงปืนใส่คุณครู
เลือดแดงถะถั่งพรั่งพรู
แล้วหนูจะเรียนกับใคร

พ่อหนูออกไปจากบ้าน
ไม่นานมีเสียงบึ้มใหญ่
พ่อแหลกเหลวไม่หายใจ
พ่อไม่กลับบ้านอีกเลย

โลกสีขาวของหนูหายไป
ทุกข์ใจจนชินชาเฉย
น้ำตาคือสิ่งคุ้นเคย
ผู้ใหญ่เอย...ทำไปทำไม


"เกิดสงครามพันครั้ง
เด็กก็ยังสวยงาม
เป็นเพียงแค่สงคราม
ความเดียงสาเท่าเดิม"*

*   จากบทเพลงของเฉลียง 

อย่าเร่งผลต้นรัก

ในหัวใจที่เปล่าว่าง
เธอกำลังอ้างว้างใช่ไหม
หวังว่าหากเติมรักลงไป
จะทำให้ใจเต็มตื้นชื่นใจ

จึงคิดไขว่คว้าหารัก
พยายามอย่างหนักใช่ไหม
หาได้ก็ยื้อยึดไว้
หวังให้ใจไม่คว้าง..ว่างใจ

วันนี้ใจไม่ว่างเปล่า
แต่เธอยังเศร้าใช่ไหม
ทุกคืนวันผันผ่านไป
เหมือนไฟรุมเร้า..เผาใจ

รักที่ยึดถือคือทุกข์
ระแวงจนหมดสุขใช่ไหม
แบกรักแบกหวงห่วงใย
รักทำไม..กลับกลายทำร้ายใจ

วาง..เถอะ..วาง ให้ใจว่าง
ไม่เคว้งไม่คว้างหวั่นไหว
ทุกสิ่งปล่อยให้เป็นไป
อย่าไขว้คว้าให้ใจทุกข์ทน

ปล่อยรักเติบโตผลิบาน
แตกกิ่งแตกก้านตั้งต้น
ในวิถีทำนองของตน
อย่าเร่งปุ๋ย..เพื่อหวังผลรักเลย

จงโบยบินไป...ด้วยปีกผีเสื้อ

โปรดอย่ากักขังฉัน
ไว้ด้วย...ความเหงาของเธอ

โปรดอย่าพันธนาการฉัน
ไว้กับ...ความเศร้าของเธอ

ปีกสองของฉัน
มันบอบบางและอ่อนไหว
เกินกว่าจะแบกรับ
ความรู้สึกแบบนั้น

โปรดจงปล่อยให้ฉันบินไป
ทุกครั้งแห่งการกระหยับปีก
ทุกดอกไม้ที่ดอมดม

ฉันจะเก็บความอ่อนหวาน
ความหอมและความสวยงาม
กลับมาเป็นของขวัญ...แด่เธอ

ความสวยงานหวานหอม
ย่อมช่วยซึมซับ
ความเหงาเศร้า

มาเถิด...ปีกบางของฉัน
แข็งแรงพอ...พร้อมแล้ว
ที่จะแบกรับความฝัน

มาเถิด...โบยบินไปพร้อมกัน
ท่ามกลางความอบอุ่นแห่งแสงตะวัน...
สู่โลกแห่งฝัน...อันงดงาม

มาเถิด..หญิงสาว
จงโบยบินไป
ด้วยปีกผีเสื้อของฉัน

ระบำ...ผีเสื้อ

ผีเสื้อปีกบาง
สองข้างขยับบิน
เริงร่าโผผิน
โรยรินดอกไม้

ดอกไม้ก้านไหว
แกว่งไกวอ่อนหวาน
กลีบดอกเบ่งบาน
ขับขาน..บทเพลง

บทเพลง..สายลม
พร่างพรม..ชื่นใจ
เอนไหว..ยอดไผ่
พลิ้วใบ..ไล้น้ำ

ไล้น้ำ...ไหลเอื่อย
เรื่อย ๆ เยือกเย็น
ความสุขที่เห็น
ในความเป็นไป

เป็นไป..ธรรมชาติ
แต่งวาดเสกสรร
งดงามดุจฝัน
ร่ายระบำพลัน...ผีเสื้อ