11/9/07

ไฟในดวงตา




ไฟแห่งความฝันกำลังลุกโชน
....ในดวงตาของเธอ
และในวันวาน
...มันก็เคยลุกโชน
...ในดวงตาของฉัน
แรงเสียดทานของวันเวลา
กระแสต้านแห่งการอยู่รอด
กระแสเชี่ยวกรากแห่งสุขนิยม
ได้ช่วยกันดับไฟในดวงตา
ดับฝันในดวงใจ...
แต่ฉันยังคงดีใจ
ที่ได้มองเห็น
ไฟแห่งความฝัน...ในดวงตาของเธอ

11 comments:

Anonymous said...

ไม่มีคำว่า แพ้ หากว่าเราได้เริ่ม
ไม่มีคำว่า อยู่ที่เดิม หากเราได้ค้นหา
ไม่มีคำว่า เป็นที่หนึ่ง หากยังต้องพึ่งพา
ไม่มีคำว่า ดีกว่า หากว่าเราไม่ตั้งใจ

(ไม่ปรากฏที่มาครับ)

ศรีประภา said...

ไฟฝันในดวงตา
อย่ารานะ...อย่า รา
เชื้อไฟในดวงใจ
ตุนไว้นะ...ตุน ไว้
ต่อไฟแห่งความฝันเรา
ให้ลุกโชน!...ตลอดไป...

Anonymous said...

ผมดีใจ และพลอยมีกำลังใจขึ้นมาก เมื่อได้เข้ามาที่ "บ้าน" หลังนี้ของน้ำพี้ แล้วผมก็ได้พบ ได้อ่านคำพูด..ที่มาจากดวงใจงดงามของคุณศรีประภาด้วย..

ผมขอขอบพระคุณคุณศรีประภาแทนเจ้าของบ้านด้วยครับ ที่คุณศรีประภาได้เข้ามาช่วยทำให้บ้านนี้อบอุ่นขึ้นมาก...

และคงเช่นเดียวกับคนอื่นๆ..ผมก็รักคุณศรีประภานะครับ...


น้องใบตอง

น้ำพี้ said...

มันราไปนานแล้วค่ะศรีประภา...ใบตอง
เมื่อวันก่อนมีความฝันความศรัทธา
วาดภาพตัวเองไว้มากมายเป็นคนดี
เสียสละ...สร้างสรรค์
แต่...พอเวลาผ่านไป
ความจริงแล้วเราทำได้แค่นี้
กระแสสุขนิยมดึงตัวเราไว้จนงมงาย
ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนส่วนใหญ่
ชีวิตนี้แค่ตัวเอง...มันดูไร้ค่าเกินไป
....ตอนนี้เราทำได้แค่นี้
เห็นไฟฝันในดวงตาเด็กน้อง ๆ นักศึกษา
แล้วก็สะท้อน...เราทำดีไม่ได้เท่าที่คิด

Anonymous said...

ชีวิต ในบางครั้ง...
ความอยุติธรรมก็คล้ายเป็นเรื่องถูกต้อง
ความเจ็บปวดก็คล้ายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ความเสียเปรียบก็อาจถูกยัดเยียดให้
ความพ่ายแพ้ก็อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดฝัน
คนที่เข้มแข็งเท่านั้น จึงจะสามารถทนรับเอาไว้ได้
เพื่อที่จะกอบกู้ทุกอย่างกลับคืนมา

(ไม่ปรากฏที่มาครับ)

chanakith said...

...ไม่มีคำว่า เป็นที่หนึ่ง หากยังต้องพึ่งพา...

ชอบจัง

ศรีประภา said...

"........................
ชีวิตนี้แค่ตัวเอง...มันดูไร้ค่าเกินไป
.........เราทำดีไม่ได้เท่าที่คิด"

"น้ำพี้"คะ อ่านแล้วเครียดจัง เคยมีความคิด ความรู้สึกเช่นนี้บ่อย หลายครั้งมันบั่นทอนกำลังใจ จนต้องหาสิ่งเยียวยา ให้ความรู้สึกด้อยค่าของชีวิตตนมีค่าขึ้นบ้าง

เราทำดีไม่ได้เท่าที่คิด แต่เราก็ยังได้ทำดี ใช่ไหมคะ?

ชีวิตนี้แค่ตัวเอง...มันดูไร้ค่าเกินไป..
"น้ำพี้"พิจารณาข้อความ^นี้ใหม่นะคะ

หนังสือthe spirit of silenceของจอห์น เลนชอบทุกตัวหนังสือเลย และท่อนนี้ก็ชอบที่ว่า...เวลานาทีในชีวิตประจำวันของเราคล้ายเป็นเรื่องราวธรรมดา แต่จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย ทุกนาทีมีความสำคัญยิ่งใหญ่...ทุกการกระทำที่กระทำด้วยความเคารพ ด้วยความเอาใจใส่ และด้วยความสุข คือสิ่งที่ผมเรียกว่า ความศักดิ์สิทธิ์

ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ตอนผมอายุ75ปี ผมรู้ว่า เวลาที่ผมอยู่ในโลกนี้ใกล้จะหมดลงแล้ว...ตอนเป็นหนุ่มผมมัวยุ่งกับการงาน จนไม่เห็นค่าของชีวิต แต่ตอนนี้ความรู้สึกได้เปลี่ยนไป ผมได้ค้นพบว่า ผมมีหน้าที่ต้องตอบรับกับทุกเวลานาทีที่ผ่านไป รู้ว่าชีวิตเป็นสิ่งอัศจรรย์ และยิ่งชื่นชมยินดีกับมัน เมื่อเวลาในชีวิตหลือน้อย
นี่คือรางวัลของความมีอายุ

เกี่ยวกันหรือเปล่าคะนี่???แต่อยากบอกดังๆว่า

ความจริงแล้ว"น้ำพี้"ทำสิ่งที่มีคุณค่าไว้มากมาย
((((((((("น้ำพี้"เป็นคนดีมีค่าที่สุด!)))))))))

เพื่อนๆในบล็อกรับประกัน!

ใช้พื้นที่มากไปค่ะขอโทษนะคะ...

Anonymous said...

เราไม่สามารถปรับทิศทางลมได้ แต่เราสามารถปรับใบเรือได้..

(ไม่ปรากฏที่มาครับ)

อย่ายอมแพ้นะคนดี..

น้ำพี้ said...

คือความคิดตอนที่เขียนนี่
มองย้อนไปตอนที่เป็นนักศึกษา...เป็นเด็กค่าย
มีความหวังเอาไว้มากมาย วิพากษ์สังคมเอาไว้มาก
พอตัวเองมาสู่สังคม สิ่งที่พูดก็เป็นเพียงลม ๆ
งานการที่ทำก็ไม่ได้ช่วยอะไรใครที่ไหน
นอกจากทำให้คนว่าจ้างและตัวเองอยู่ดีมีกินมากขึ้น
ใช้ชีวิตสุขสบายไปเที่ยวต่างประเทศได้...กินอยู่ดี ๆ
มันก็เลยเกิดความรู้สึกน่ะค่ะว่า ตัวเองหน่ะโธ่เอ๋ยดีแต่ปาก
สุดท้ายก็ยึดติดกับสุขนิยมอยู่ดี
แต่ทุกอย่างก็อยู่ที่ตัวเราเนอะ...คิดแล้วไม่ทำจะไปพร่ำโทษใครได้
ต้องแก้...ต้องแก้..ทำทางตรงไม่ได้ ก็ทำแบบอ้อม ๆ ไปแล้วกัน ปรับใบเรือแบบใบตองว่า

Anonymous said...

"เราต้องการความเงียบเพื่อเป็นยาไว้ต่อต้านความอึกทึกครึกโครม ความวิเวกคือเขื่อนกีดกั้นเครื่องกวนใจ และความช้าเป็นยารักษาในกระแสความเร่งเร็ว"

"การก้าวไปบนเส้นทางแห่งความเงียบและความสงบ จะปลดปล่อยเราจากชีวิตที่มีแต่ความหงุดหงิดรำคาญใจ นำเราสู่การรู้ตื่นอันสงบผ่องใสของปัจจุบันขณะ อาจนำเราไปจากชีวิตที่อยู่กับการบริโภคอย่างไม่ยับยั้ง ปรับตัวตามสังคมอย่างไม่ใคร่ครวญ ทำให้เราได้พบกับต้นธารแห่งการเป็นอยู่ ได้ตระหนักถึงความจริงแท้ และยอมรับเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่งตามที่เขาเป็น"

ความเงียบสอนให้เรารู้ว่าเราคือใคร
ความเงียบสามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณ
และเปิดมุมมองใหม่ให้แก่เรา
ถ้ามนุษย์ปล่อยตนอยู่กับสิ่งน่ารำคาญ
ยอมให้มันขโมยอิสรภาพภายในของเราไป
และต้องสูญเสียความสัมพันธ์กับอิสรภาพภายในแล้วไซร้
เราจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ และชีวิตมีแต่ถดถอยลงไป*

* คำโปรยจากหนังสือ ความเงียบ (The Spirit of Silence)
เปิดพื้นที่เพื่อความสร้างสรรค์
จอห์น เลน : เขียน / สดใส ขันติวรพงศ์ : แปล

ศรีประภา said...

"ต้องแก้...ต้องแก้..ทำทางตรงไม่ได้ ก็ทำแบบอ้อม ๆ ไปแล้วกัน"

เห็นด้วยอย่างเป็นที่สุดค่ะ"น้ำพี้"